หลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2566

ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2566


“ในโลกที่ข้อมูลเป็นสินทรัพย์สำคัญขององค์กร หลักการสำคัญด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประการหนึ่งที่ประเทศต่าง ๆ กำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล”

ในโลกที่ข้อมูลเป็นสินทรัพย์สำคัญขององค์กร หลักการสำคัญด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประการหนึ่งที่ประเทศต่าง ๆ กำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้แก่ การกำหนดมาตรฐานและวิธีการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับการคุ้มครองในประเทศผู้รับโอนข้อมูลด้วยมาตรฐานที่เหมาะสมตามที่ประเทศผู้ส่งออกข้อมูลกำหนด

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนดหน้าที่และมาตรการเกี่ยวกับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศไว้ในมาตรา 28 และมาตรา 29 และมีการกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมตามประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“คณะกรรมการ”) จำนวน 2 ฉบับ โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2566 และจะใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2567 เป็นต้นมาได้แก่

  1. ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2566 (“ประกาศคณะกรรมการตามมาตรา 28”) และ

  2. ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศ ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562 พ.ศ. 2566 (“ประกาศคณะกรรมการตามมาตรา 29”)

ทั้งนี้ ประกาศคณะกรรมการทั้ง 2 ฉบับ ได้กำหนดนิยามคำว่า “ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่รวมถึงการส่งและรับข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะที่เป็นเพียงสื่อกลาง (intermediary) ในการส่งผ่านข้อมูล (data transit) ระหว่างระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายหรือการเก็บพักข้อมูล (data storage) ที่ไม่มีบุคคลภายนอกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ นอกจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นผู้ส่งข้อมูลนั้น เช่น การส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายในต่างประเทศ หรือการส่งข้อมูลผ่านระบบของผู้ให้บริการระบบคลาวด์ (cloud computing service provider) ที่ไม่มีบุคคลใดนอกจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นผู้ส่งข้อมูล ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากมีมาตรการทางเทคนิคหรือเงื่อนไขทางกฎหมายรองรับ

ประกาศคณะกรรมการตามมาตรา 28 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศ ในเรื่องดังต่อไปนี้

หลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

กรณีประเทศปลายทางหรือองค์การระหว่างประเทศที่รับข้อมูลส่วนบุคคลจะถือว่ามี “มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ” (เทียบกับ “Adequacy Decision” ของ GDPR) เมื่อประเทศปลายทางหรือองค์การระหว่างประเทศนั้น

  1. มีมาตรการหรือกลไกทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย โดยเฉพาะหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ในการจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม และสามารถบังคับตามสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ และมาตรการเยียวยาทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ
  2. มีหน่วยงานหรือองค์กรที่มีหน้าที่ และอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย และกฎระเบียบเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในประเทศปลายทางหรือองค์การระหว่างประเทศ

หลักเกณฑ์การวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ

  1. ผู้ที่จะเสนอปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอให้คณะกรรมการวินิจฉัย อาจเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“สำนักงาน”) เป็นผู้เสนอเองก็ได้
  2. ในการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ คณะกรรมการอาจพิจารณาวินิจฉัยเป็นรายกรณี หรือพิจารณากำหนดรายชื่อประเทศปลายทางหรือองค์การระหว่างประเทศที่รับข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือว่ามีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอก็ได้
  3. สำนักงานอาจขอให้คณะกรรมการทบทวนคำวินิจฉัยได้ เมื่อมีหลักฐานใหม่ทำให้เชื่อได้ว่าประเทศปลายทางหรือองค์การระหว่างประเทศที่รับข้อมูลส่วนบุคคลมีการพัฒนาจนมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ หรือกรณีอื่นที่เห็นสมควร
  4. ในการดำเนินการเพื่อเสนอเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัย ให้สำนักงานจัดทำเป็นรายงานมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศปลายทางหรือองค์การระหว่างประเทศ โดยสำนักงานอาจจัดทำเองหรือเสนอรายงานของหน่วยงานอื่นก็ได้

ซึ่งการมีผลใช้บังคับของประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และเพื่อให้ประเทศไทยมีมาตรฐานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเทียบเท่ามาตรฐานสากล.

ที่มา :

# คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
Avatar
Administrator
Support Department